โรคที่เกิดจากพฤติกรรมของบุคคล


มะเร็งปอด
โรคมะเร็งปอดเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ของปอด เช่น เนื้อปอด หลอดลมกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โรคมะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อย หากตรวจพบเร็วสามารถรักษาให้หายขาดได้
มะเร็งคืออะไร
ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เป็นจำนวนมาก ปกติเซลล์จะแบ่งตัวตามความต้องการของร่างกาย เช่น มีการผลิตเม็ดเลือดแดงเพิ่มเมื่อมีการเสียเลือด มีการผลิตเม็ดเลือดข้าวเพิ่มเมื่อมีการติดเชื้อ เป็นต้น แต่มีเซลล์ที่แบ่งตัวโดยที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เกิดเป็นเนื้องอก ซึ่งแบ่งเป็น Benign และ Malignant
  • Benign tumor คือเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถตัดออกและไม่กลับเป็นใหม่ และที่สำคัญไม่สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
  • Malignant tumor เซลล์จะแบ่งตัวทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียง ที่สำคัญสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นที่อยู่ไกลโดยไปตามกระแสเลือด และน้ำเหลืองเรียกว่า Metastasis
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปอด ส่วนใหญ่พบร่วมกับการสูบบุหรี่
  • สูบบุหรี่ จำนวนปีที่สูบ อายุที่เริ่มสูบ จำนวนบุหรี่ที่สูบ สูบแต่ละครั้งลึกแค่ไหน ทั้งหมดเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งปอด
  • สูบ cigars และ pipes
  • ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของผู้สูบบุหรี่
  • สัมผัสสาร Randon เป็นแก็สที่ไม่มีกลิ่น ซึ่งพบได้ตามดินและหิน ผู้ป่วยทีทำงานเหมืองจะมีโอกาสเสี่ยง
  • ใยหิน Asbestos ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับเหมืองใยหินมีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งปอด<
  • ควันจากการเผาไหม้น้ำมัน และถ่านหิน
  • โรคปอด โดยเฉพาะวัณโรคมะเร็งจะเกิดบริเวณที่เป็นแผลเป็นวัณโรค<
  • ผู้เคยเป็นมะเร็งปอดจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดสูงกว่าคนปกติ


อาการของมะเร็งปอด อาการที่พบบ่อยมีดังนี้
  • ไอเป็นมากขึ้นเรื่อย
  • เจ็บแน่นหน้าอก
  • ไอเสมหะมีเลือดปน
  • หายใจเหนื่อย เสียงแหบ<
  • เป็นปอดบวมหรือปอดอักเสบบ่อย
  • หน้าและคอบวม
  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
การวินิจฉัย
เมื่อแพทย์สงสัยแพทย์จะซักประวัติครอบครัว ปัจจัยเสี่ยงต่างๆและส่ง x-ray ปอด ส่งเสมหะตรวจหาเซลล์มะเร็ง
 การวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุดคือการได้ชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิโดยพยาธิแพทย์วิธีการได้ชิ้นเนื้อมีหลายวิธีดังนี้
1.               Brochoscopy คือการส่องกล้องเข้าทางปาก ลงหลอดลม และเข้าปอดเพื่อตัดชิ้นเนื้อ<
2.               Needle aspiration คือใช้เข็มเจาะผ่านผนังทรวงอกเข้าปอด และเข้าเนื้อร้ายแล้วดูดเอาชิ้นเนื้อส่งตรวจ<
3.               Thoracenthesis คือใช้เข็มเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดส่งตรวจหาเซลล์มะเร็ง
4.               Thoracotomy คือผ่าเข้าในทรวงอกและตัดเนื้อร้ายออก
หลังจากทราบว่าเป็นมะเร็งแพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเพื่อจะทราบว่ามะเร็งแพร่กระจายหรือยังโดยการตรวจดังนี้
  • CAT [Computed tomography] เป็นการ x-ray computer เพื่อดูว่ามะเร็งแพร่กระจายหรือยัง
  • MRI [magnetic resonance imaging] ใช้คลื่นแม่เหล็กตรวจ
  • Scan โดยใช้สารอาบรังสีฉีดเข้ากระแสเลือดและวัดรังสีที่อวัยวะนั้น เช่น ตับ กระดูก
  • Mediastinoscopy เป็นการส่องเข้าในช่องอกเพื่อดูว่ามะเร็งแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองหรือยัง
การรักษา
1.               การผ่าตัด แพทย์จะผ่าเอาเนื้อร้ายออกบางครั้งอาจต้องตัดปอดออกบางกลีบ lobectomy หรือตัดทั้งปอด pneumectomy
2.               เคมีบำบัด การให้สารเคมีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง แม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดไปแล้วอาจมีมะเร็งบางส่วนหลงเหลือจึงให้เคมีบำบัดเพื่อทำลายส่วนที่เหลือ
3.               รังสีรักษา อาจให้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดของมะเร็ง แพทย์อาจให้เคมีบำบัดร่วมกับรังสีรักษา
4.               Photodynamic therapy โดยการฉีดสารเคมีเข้าเส้นเลือด สารนั้นจะอยู่ที่เซลล์มะเร็งแล้วใช้ laserเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง
มะเร็งปอดมีกี่ชนิด เราแบ่งเป็นชนิดใหญ่ๆ 2 ชนิด
1.               non-small cell lung cancer
2.               Small cell carcinoma หรือที่เรียก oat cell cancer พบน้อยแต่แพร่กระจายเร็ว
การรักษา non-small cell lung cancer
แพทย์จะเลือกการผ่าตัด และให้รังสีร่วมกับเคมีบำบัดเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
การรักษา small cell lung cancer
แพทย์จะเลือกให้เคมีรักษาร่วมกับการผ่าตัด และอาจให้รังสีรักษาแม้ว่าจะตรวจไม่พบว่ามีการแพร่กระจาย




มาออกกำลังกายกันเถอะ !!


                “สุขภาพดี ไม่มีซื้อ ไม่มีขาย” คำๆนี้ พวกเรามักจะได้ยินบ่อยๆ จากพ่อ แม่ หรือลุง ป้า เสมอ เพราะคำๆนี้หมายความว่า การจะมีสุขภาพดีได้นั้น จะมีเงินมากมายเท่าไรก็ซื้อไม่ได้ แต่อยู่ที่ตัวเราเอง ฉะนั้นในเมื่อเราสามารถมีสุขภาพดีได้ โดยไม่ต้องเสียเงินซักบาททำไมเราถึงไม่ลงมือทำมันตั้งแต่ตอนนี้ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น “การออกกำลังกาย”
                ในการรักษาสุขภาพเรานั้น สามารถแบ่งออกได้ 4 มิติ คือการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟู การรักษาและการฟื้นฟูนั้น หมาสามารถทำให้เราได้ แต่การสร้างสุขภาพนั้นเราต้องทำด้วยตนเอง  ฉะนั้นเราควรเริ่มด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การออกกำลังกาย การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ จะสร้างสุขภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เราได้กล้ามเนื้อ มีผลดีต่อ หัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนเลือด อีกทั้งยังเผาผลาญไขมันส่วนเกินทำให้เราได้สัดส่วนและร่างกายที่ดี ไม่อ้วนแผละ ห่างไหลจากโรคอ้วน การออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างพอเหมาะจะทำให้สมองหลั่งสารสุข ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ ทำให้เรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
                ปริมาณการออกกำลังกายที่พอเหมาะนั้นขึ้นอยู่กับอายุ และเพศ แต่โดนเฉลี่ยแล้วนั้น คนเราควรได้รับการออกกำลังกายวันละ 30 – 60 นาที ประมาณ 3 – 5 ครั้งต่อสัปดาห์ รูปแบบของการออกกำลังกายนั้นทำได้หลายวิธีเช่นการเล่นกีฬา เช่นการเล่นบาสเกตบอล ฟุตบอล ปิงปองและอื่นๆอีกมากมาย  การเล่นกล้ามก็นับว่าเป็นการออกกำลังกายที่ดี ทำให้ได้กล้ามเนื้อและหุ่นที่กระชับ บางทีเราอาจจะไม่สะดวกไปออกกำลังกาย เพราะว่าต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศ เราก็ควรจะลุกมาเดินบ้างชั่วโมงละครั้ง หรือทำกายบริหารอย่างง่ายๆภายในออฟฟิศ ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้นเช่นกัน
                เห็นไหมว่าการออกกำลังกายนั้นทำได้ง่ายๆ ทุกที่ทุกเวลา  และได้ผลตีต่อสุขภาพ ฉะนั้นอย่าผัดวันประกันพรุ่งจนเรามีสุขภาพแย่ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเงินก็ซื้อสุขภาพที่ดีกลับมาไม่ได้ มาเร่งสร้างสุขภาพที่ดีกันด้วยการออกำลังกายกันเถอะ เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป


การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคด้วยภูมิปัญญาไทย และการแพทย์แผนไทย


ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะความเชื่อ และศักยภาพในการแก้ปัญหาของมนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างไม่ขาดสายและเชื่อมโยงกันทั้งระบบทุกสาขา
                ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ ความสามารถ ทักษะและเทคนิคการตัดสินใจ ผลิตผลงานของบุคคล อันเกิดจากการสะสมองค์-ความรู้ทุกด้านที่ผ่านกระบวนการสืบทอด พัฒนาปรับปรุง และเลือกสรรมาแล้วเป็นอย่างดีสามารถแก้ไขปัญหา และพัฒนาวิถีชีวิตของคนไทยได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย ในแต่ละท้องถิ่นจะมีบุคคล
ผู้มีความรู้ความสามารถที่เรียนรู้มาจากบรรพบุรุษ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายหรือผู้รู้ในท้องถิ่นต่างๆ เรียกว่า ผู้ทรงภูมิปัญญาไทย  ตัวอย่างภูมิปัญญาไทยที่เราสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน เช่น ภาษา บทความ หรือวรรณกรรมต่างๆ เพลง ประเพณี วัสดุหรืออุปกรณ์ที่มีการนำมาใช้ตั้งแต่โบราณเช่น หมวกที่สานด้วยใบไม้แห้ง และอื่นๆ
จากการศึกษาพบว่ามีการกำหนดสาขาของภูมิปัญญาไว้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกฎเกรณ์ต่างๆภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งออกได้หลายสาขา ดังนี้
1.    สาขาเกษตรกรรม                                                
2.    สาขาอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม                 
3.    สาขาการแพทย์แผนไทย                                      
4.    สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
5.    สาขาสวัสดิการ                                                   
6.    สาขากองทุนและธุรกิจชุมชน
7.    สาขาศิลปกรรม
8.    สาขาการจัดการองค์กร
9.    สาขาภาษาและวรรณกรรม
10.  สาขาศาสนาและประเพณี
การแพทย์แผนไทย อาจหมายถึง กระบวนการทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด หรือป้องกันโรค หรือการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์หรือสัตว์ การผดุงครรภ์ การนวดไทย และหมายความรวมถึงการเตรียมการผลิตยาแผนไทย ประดิษฐ์อุปกรณ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ โดยอาศัยความรู้หรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและสืบต่อกันมา[1]
การแพทย์แผนไทยอาจจะไม่มีองค์ความรู้ด้านกลไกการเกิดโรค และเทคนิคทางศัลยกรรมมากนัก แต่ต้องมีองค์ความรู้ด้านกลวิธีทางคลินิก เช่น การซักประวัติ และการรักษาด้วยยา เพียงแต่ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ทาง ซึ่งก็มาจากกฎข้อบังคับตามใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนไทย ที่ว่า " มิให้แพทย์แผนไทยกระทำการอันเป็นวิทยาศาสตร์ใด ๆ "  นั่นเอง ทำให้ไม่สามารถมีการตั้งสมมุติฐานและวิจัยได้อย่างเต็มที่
การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค สามารถนำภูมิปัญญาไทยและการแพทย์แผนโบราณมาปรับใช้อย่างถูกต้องและได้ผล ยกตัวอย่างเช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง และถูกสุขอนามัย เพื่อแก้ปัญหาด้านการบริโภคอย่างปลอดภัย สาขาการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนหรือภายในบ้าน ทั้งการอนุรักษ์ การพัฒนาและการใช้อย่างยั่งยืน ซึ่งประโยชน์ที่เราได้รับนั้นจะส่งผลให้สุขภาพของประชาชนในชุมชนมีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์
                สาขาที่ส่งผลตรงต่อการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค ได้แก่สาขาการแพทย์แผนไทย ซึ่งสาขาการแพทย์แผนไทย หมายถึง ความสามารถในการจัดการป้องกันและรักษาสุขภาพของคนในชุมชน โดยเน้นให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองทางด้านสุขภาพและอนามัยได้ โดยการแพทย์แผนไทยได้ใช้ความรู้ในการผลิตยาจากพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยเพื่อใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งสมุนไพรเป็นผลิตผลธรรมชาติที่ได้จาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุ สมุนไพรไทยประกอบไปด้วย  กระเทียม น้ำผึ้ง รากดิน เขากวางอ่อน กรรมถัน และอื่นๆอีกมากมาย และสมุนไพรยังช่วยป้องกันโรคและเสริมสร้างร่างกายของเราให้แข็งแรงอยู่เสมออีกด้วย
การส่งเสริมสุขภาพด้วยการแพทย์แผนไทย ก็คือการดูแลสุขภาพโดยนำเอาภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยมาใช้ เป็นการดูแลแบบองค์รวม ผสมผสานระหว่างปรัชญาการดำเนินชีวิต ศาสนา วิทยาศาสตร์ โดยที่ทฤษฎีการแพทย์แผนไทยมีแนวคิดว่า มนุษย์มีลักษณะเฉพาะตัวเรียกว่า "ธาตุเจ้าเรือน" ประกอบด้วย ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ การส่งเสริมสุขภาพแนวนี้ จึงเน้นการปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย เช่น การรับประทานอาหารสมุนไพร การอบสมุนไพร และการประคบสมุนไพร
การรับประทานอาหารสมุนไพรตามธาตุเจ้าเรือน
คนธาตุดิน จะมีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ ผมดกดำ กระดูกใหญ่ อาหารสำหรับธาตุดิน คือ อาหารที่มีรสฝาด หวาน มัน เค็ม เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก ถั่วพู กระหล่ำปลี ผักกระเฉด ฯลฯ
คนธาตุน้ำ มักจะมีรูปร่างสมส่วน ผิวพรรณสดใส ตาหวาน อาหารสำหรับคนธาตุน้ำ ได้แก่ อาหารรสเปรี้ยว เช่น มะเขือเทศ ส้มโอ มะนาว ยอดมะขาม น้ำกระเจี๊ยบ ฯลฯ
คนธาตุลม มักมีรูปร่างสูงโปร่ง ไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง ขี้อิจฉา ขี้ขลาด ช่างพูด อาหารสำหรับคนธาตุลม ได้แก่ อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กะเพรา กระเทียม พริกไทย ฯลฯ
คนธาตุไฟ มักเป็นคนทนร้อนไม่ได้ หิวบ่อย ผมหงอกเร็ว ใจร้อน กลิ่นตัวแรง อาหารสำหรับคนธาตุไฟ ได้แก่ อาหารรสขม เย็น จืด เช่น สะเดา แตงโม หัวผักกาด ฟักเขียว บวบ มะเขือ ฯลฯ
การอบสมุนไพร
คือการอบตัวด้วยไอน้ำที่ได้จากการต้มสมุนไพร เป็นวิธีบำบัดรักษาอย่างหนึ่ง สมุนไพรที่ใช้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการหาได้ของแต่ละท้องถิ่น สมุนไพรสดจะดีกว่าสมุนไพรแห้ง การอบสมุนไพรมีประโยชน์ คือ ช่วยให้ผิวหนังสะอาด ขับเหงื่อ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น บรรเทาอาการปวดเมื่อย เวียนศรีษะ รักษาอาการผื่นคันตามผิวหนัง เป็นต้น สมัยโบราณใช้กับหญิงหลังคลอดเพื่อให้สุขภาพดี ผิวสวย มดลูกเข้าอู่ดี ปัจจุบันมีผู้นิยมนำมาใช้ในการลดน้ำหนัก ทำให้ผิวสวย การประคบสมุนไพร
คือการใช้สมุนไพรหลายๆอย่างมาโขลกหยาบๆแล้วห่อรวมกัน นึ่งให้ร้อนแล้วประคบส่วนที่ต้องการ ประโยชน์ของการประคบสมุนไพร คือ ช่วยรักษาอาการตะคริว อาการช้ำบวม ลดการอักเสบ แก้ปวดเมื่อยคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
         





โครงการพัฒนาและดูแลสุขอนามัยภายในชุมชนและสังคม

1.ชื่อโครงการ        
โครงการพัฒนาและดูแลสุขอนามัยภายในชุมชนและสังคม
2.หลักการและเหตุผล
โครงการนี้จัดขึ้นเพื่อดูแลสุขอนามัยภายในชุมชนให้ดีขึ้น และให้ข้อมูลกับประชาชนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และผลกระทบจากมลพิษที่เกิดจากการไม่ดูแลสุขอนามัยให้ดี ซึ่งโครงการนี้จะทำให้คนในชุมชนมีสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการดูแลสุขอนามัยภายในบ้านดีขึ้น และสิ่งแวดล้อมภายในชุมขนที่ดีขึ้น
3.วัตถุประสงค์                                  
1. พัฒนาสุขภาพกาย และสุขภาพจิตของคนในชุมชน
2. เพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน               
                3. กำจัดและดูแลแหล่งกำเนิดมลพิษภายในชุมชน
4.กลุ่มเป้าหมาย                                 
ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในชุมชน ทุกเพศ ทุกวัย ประมาณ 4000 คน
5.วิธีดำเนินการ                                 
  1. จัดตั้งคณะกรรมการดูแลสุขอนามัยภายในชุมชน                      
  2. พัฒนาและดูแลสุขอนามัยภายในชุมชุน เช่น ห้องน้ำสาธารณะ สวน คลองและอื่นๆ                                             
   3. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขอนามัยแก่คนในชุมชน เช่นการดูแลชุมชนให้สะอาดการดูแลสภาพแวดล้อม  ภายในบ้านและรอบๆบ้าน
  4. สำรวจสุขภาพคนในชุมชน หลังการพัฒนาและดูแล                  
  5. จัดกิจกรรมที่สนับสนุนการดูแลสุขอนามัยภายในชุมชน เช่น รณรงค์ให้มีการบำเพ็ญประโยชน์ในวันหยุด      
6.ระยะเวลาดำเนินการ               
 1 – 2 เดือนในการดำเนินการ หลังจากสำรวจผลตอบรับ แล้วค่อยหาวิธีแก้และดำเนินการต่อ
7.สถานที่ดำเนินการ                     
สถานที่สาธารณะ และบ้านเรือนภายในชุมชน
8.งบประมาณ                                     
20000 – 30000 บาท
9.ผลที่คาดว่าจะได้รับ                 
  1.คนในชุมชนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี                
  2. บ้านเมืองสะอาดน่าอยู่ ปราศจากมลพิษ                                       
  3. คนในชุมชนรู้จักเกี่ยวกับสุขอนามัย และการดูแลมากขึ้น
10.ผู้รับผิดชอบโครงการ      
นายศุภกฤต วิศวพิพัฒน์ ม.6/1 เลขที่ 9



รายงานวิชาสุขศึกษา

กระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบต่อมไร้ท่อ
อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของคนเราทำงานสัมพันธ์กันเป็นระบบ และมีความสำคัญที่ส่งผลถึงกันได้ หากระบบใดระบบหนึ่งมีปัญหาจะส่งผลถึงระบบอื่นๆ ฉะนั้นเราจึงควรรู้จักระบบต่างๆในร่างกาย  เพื่อการบำรุง และรักษาร่างกายที่ดี

1.1 ความสำคัญและหลักการของกระบวนการสร้างเสริม และดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย
มนุษย์จะดำรงอยู่ได้ด้วยการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ระบบต่างๆพึ่งพาและทำงานสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด หากระบบใดระบบหนึ่งเกิด จะส่งผลกระทบต่อๆกันเป็นลูกโซ่ ฉะนั้นเราจึงควรเรียนรู้หลักการของระบบต่างๆในร่างกายให้ดี เพื่อการบำรุงรักษาให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนี้
1. รักษาอนามัยส่วนบุคคล                                   2. บริโภคอาหารให้ถูกต้องและเหมาะสม 
                3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ                                    4. พักผ่อนให้เพียงพอ          
                5. มีสุขภาพจิตที่ดีอยู่เสมอ                                    6. ตรวจเช็คร่างกายเป็นประจำ                            
                7. หลีกเลี่ยงสิ่งเสพติดให้โทษต่างๆ        
 1.2 ระบบประสาท ( Nervous System )
ระบบประสาท คือ ระบบที่ประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเส้นประสาททั่วร่างกาย ซึ่งจะทำหน้าที่ร่วมกันในการควบคุมการทำงาน และการรับความรู้สึกของอวัยวะทุกส่วน ความรู้สึกนึกคิด และความทรงจำต่างๆ
                1.2.1 องค์ประกอบของระบบประสาท แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
1 ) ระบบประสาทส่วนกลาง เป็นศูนย์กลางควบคุมและประสานการทำงานของร่างกายทั้งหมด ประกอบด้วย
สมอง ( Brain ) เป็นอวัยวะที่สำคัญ ทำหน้าที่ความคิด ความจำ ความฉลาด และเป็นศูนย์กลางควบคุมระบบประสาททั้งหมดบรรจุอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ แบ่งออกเป็น 2 ชั้นได้แก่ ชั้นนอกมีสีเทา เรียกว่า เกรย์แมตเตอร์ ส่วนชั้นใน มีสีขาว เรียกว่า ไวท์แมตเตอร์ และแบ่งอีกเป็น 3 ส่วน สมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนท้าย
ไขสันหลัง ( Spinal Cord ) ส่วนที่ต่อจากสมองลงไปตามแนวช่องกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่รับกระแสประสาทจากส่วนต่างๆ ของร่างกายส่งต่อไปยังสมอง และส่งจากสมองกลับไป
2 ) ระบบประสาทส่วนปลาย ทำหน้าที่นำความรู้สึกจากส่วนต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลางไปยังอวัยวะปฏิบัติงาน
1.2.2 การทำงานของระบบประสาท เป็นระบบที่ทำงานประสานกับระบบกล้ามเนื้อ และรับประสาทจากอวัยวะภายในต่างๆ และส่งคำสั่งกลับไปควบคุมการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และอื่นๆ
1.2.3 การบำรุงรักษาระบบประสาท ได้แก่ระวังการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ ป้องกันไม่ให้เกิดโรคทางสมอง หลีกเลี่ยงยาชนิดต่างๆที่มีผลต่อสมอง ผ่อนคลายความเครียด และรับประทานอาหารที่ดี
                1.3 ระบบสืบพันธุ์ ( Reproductive System )
เป็นระบบที่เกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนสิ่งมีชีวิต และดำรงเผ่าพันธุ์ไว้ โดยต้องอาศัยอวัยวะทั้งเพศชายและเพศหญิง
1.3.1 อวัยวะสืบพันธุ์เพศชาย 1) อัณฑะ  2) ถุงหุ้มอัณฑะ  3) หลอดเก็บตัว 4) หลอดนำตัวอสุจิ 5) ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ  6) ต่อมลูกหมาก  7) ต่อมคาวเปอร์
1.3.2 อวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง 1) รังไข่  2) ท่อนำไข่  3) มดลูก  4) ช่องคลอด
1.3.3 การบำรุงรักษาระบบสืบพันธุ์     
               1. ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ            2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 
               3. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์                          4. พักผ่อนให้เพียงพอ          
               5. ทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ             5. สวมเสื้อผ้าที่สะอาด
                    1.4 ระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine System )
เป็นระบบที่ผลิตสารที่เรียกว่า ฮอร์โมน เป็นต่อมที่ไม่มีท่อหรือรูเปิด จึงลำเลียงสารผ่านกระแสเลือด ระบบต่อมไร้ท่อทำงานร่วมกับระบบประสาท เพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ถ้าฮอร์โมนน้อยไปจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้
1.4.1 ต่อมไร้ท่อภายในร่างกาย  1) ต่อมใต้สมอง 2) ต่อมหมวกไต 3) ต่อมไทรอยด์ 4) ต่อมพาราไทรอยด์ 5) ต่อมอยู่ในตับอ่อน  6) รังไข่ในเพศหญิง และอัณฑะในเพศชาย  7) ต่อมไทมัส
1.4.2 การบำรุงรักษาระบบต่อมไร้ท่อ
                1. รับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่          2. ดื่มในประมาณที่เพียงพอ
                3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ                                    4. ลดประมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์
5. หลีกเลี่ยงสภาวะมลพิษต่างๆ                            5. พักผ่อนให้เพียงพอ

Hello :)

ชื่อ ศุภกฤต วิศวพิพัฒน์ ม.6/1
 โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง


ทักทายเฉยๆ : )